
E-E-A-T ไม้เด็ด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ SEO ให้ปัง!
ถึงเวลาเปลี่ยนแปลงความคิดใหม่แล้วในปี 2025 การทำ SEO ให้ปังนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของการใส่คีย์เวิร์ดหรือสร้าง Backlinks อีกต่อไป! เพราะในเวลานี้ Google ให้ความสำคัญกับคุณภาพของเนื้อหาและความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์มากขึ้นเรื่อย ๆ และตัวช่วยหนึ่งที่ควรทราบและนำไปใช้ในการสร้างก็คือ E-E-A-T Factor ที่เพิ่งได้รับการอัปเดตจาก Google นั่นเอง
E-E-A-T ไม้เด็ด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ SEO ให้ปัง!

ถึงเวลาเปลี่ยนแปลงความคิดใหม่แล้วในปี 2025 การทำ SEO ให้ปังนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของการใส่คีย์เวิร์ดหรือสร้าง Backlinks อีกต่อไป! เพราะในเวลานี้ Google ให้ความสำคัญกับคุณภาพของเนื้อหาและความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์มากขึ้นเรื่อย ๆ และตัวช่วยหนึ่งที่ควรทราบและนำไปใช้ในการสร้างก็คือ E-E-A-T Factor ที่เพิ่งได้รับการอัปเดตจาก Google นั่นเอง
E-E-A-T Factor ประกอบไปด้วย อะไรบ้าง?
- Experience (ประสบการณ์)

หมายความว่าเนื้อหานั้นไม่ได้เกิดจากการคัดลอกหรือนำมาจากแหล่งอื่นเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเป็นข้อมูลที่เกิดจากประสบการณ์โดยตรง หรือเคยประสบเหตุการณ์ที่ใกล้เคียง ที่เกี่ยวกับเนื้อหา ช่วยให้เราสามารถเสนอคำแนะนำที่ผ่านการทดลองมาแล้ว ข้อมูลเชิงลึกที่น่าเชื่อถือ ความคิดเห็นที่ไม่ซ้ำใคร โดยกูเกิ้ลจะมองว่าประสบการณ์เหล่านี้ถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้สร้างเนื้อหามีมุมมองที่ลึกซึ้ง มีรายละเอียด และมีความรอบรู้ในเนื้อหามากยิ่งขึ้น ซึ่งนำไปสู่การสร้างเนื้อหาคุณภาพที่น่าเชื่อถือและมีประโยชน์ต่อผู้อ่านได้มากกว่าบทความทั่วไปที่ขาดประสบการณ์จริง ตัวอย่างเช่น “ฉันเคยทำขนมปังซาวโดว์มา 5 ปี และนี่คือเคล็ดลับที่ฉันค้นพบเอง” จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของเนื้อหาได้
- Expertise (ความเชี่ยวชาญ)

หมายถึง ผู้เขียนควรมีพื้นฐานความรู้เฉพาะทางที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่นำเสนอ เช่น หากเป็นบทความเกี่ยวกับสุขภาพ ก็ควรมีแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเป็นผู้ให้ข้อมูล หรืออย่างน้อยต้องมีการอ้างอิงแหล่งข้อมูลทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้ การนำเสนอบทความโดย “ผู้เชี่ยวชาญ” จะช่วยให้เนื้อหามีน้ำหนักมากขึ้นโดยหลักการเขียนบทความที่ควรคำนึงถึงเป็นสำคัญคือ ต้องเข้าใจว่าผู้อ่านมีความต้องการอะไร และให้คิดเสมอว่าเรากำลังนำเสนอข้อมูลให้แก่คนที่ไม่รู้เกี่ยวกับหัวข้อนั้น ๆ จึงควรเขียนให้เข้าใจง่าย กระชับ ไม่ยืดเยื้อ และอาจใส่กราฟิกเป็นรูปภาพหรือวิดีโอให้ผู้อ่านเห็นภาพมากยิ่งขึ้นด้วย แน่นอนว่าหากคนที่เขียนคอนเทนต์ มีความเชี่ยวชาญในหัวข้อที่ตนเองนำเสนอแก่ผู้อ่าน เพื่อที่ข้อมูลเหล่านั้นจะได้ถ่ายทอดออกมาได้อย่างถูกต้องและแม่นยำมากที่สุด ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่าบทความของเรามีความน่าเชื่อถือ
- Authoritativeness (ความน่าเชื่อถือ)

เว็บไซต์หรือแหล่งข้อมูลมีความน่าเชื่อถือแค่ไหน ซึ่งหมายถึงเว็บไซต์หรือผู้เขียนได้รับการยอมรับจากผู้อื่นในวงการเดียวกันหรือไม่ ตัวอย่างเช่น หากเว็บไซต์เป็นแหล่งข่าวด้านการเงินที่ได้รับการอ้างอิงจากสื่อหลักบ่อยครั้ง ก็แสดงว่ามีความน่าเชื่อถือ หรือหากเว็บไซต์ได้รับลิงก์ย้อนกลับ (backlinks) จากเว็บไซต์มหาวิทยาลัยหรือองค์กรที่เชื่อถือได้ ก็ช่วยเสริมความน่าเชื่อถือให้กับเนื้อหา
- Trustworthiness (ความไว้วางใจได้)

เว็บไซต์มีความน่าไว้วางใจหรือไม่ ทั้งในแง่ของข้อมูลและความปลอดภัย หมายถึงข้อมูลต้องถูกต้องและสามารถตรวจสอบได้ รวมถึงเว็บไซต์ต้องมีความปลอดภัย เช่น ใช้ HTTPS มีนโยบายความเป็นส่วนตัวที่ชัดเจน ไม่มีโฆษณาหลอกลวง และให้ข้อมูลติดต่อที่ตรวจสอบได้ ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ที่มีรีวิวจากผู้ใช้จริง มีการเปิดเผยตัวตนของผู้เขียน หรือแสดงให้เห็นว่ามีการอัปเดตเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ผู้อ่านไว้วางใจมากขึ้น
Google ให้ความสำคัญกับ E-E-A-T เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลที่มีคุณภาพ ลดการเผยแพร่ข้อมูลที่ผิดพลาด และปรับอัลกอริธึมให้แสดงผลการค้นหาที่เป็นประโยชน์ที่สุด
ทำไมการทำเว็บไซต์ตามหลัก E-E-A-T Factor จึงสำคัญกับ SEO

เมื่อใช้หลัก E-E-A-T ในการเขียน คอนเทนต์ของเราก็จะสามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือแก่ผู้อ่านได้ และยิ่งถ้าหากบทความนั้น ๆ แสดงชื่อผู้เขียนด้วย ก็จะยิ่งทำให้พิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่เขียนขึ้นมานั้นเป็นความจริง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็จะส่งผลดีต่อการทำ SEO ดังนี้
- ช่วยให้ Google มา Index เว็บไซต์เราเร็วขึ้น โดยการเข้ามาเก็บข้อมูลแต่ละเว็บไซต์ของ Google นั้นจะมีความช้าหรือเร็วแตกต่างกันไป แต่ถ้าเว็บไซต์ไหนมีความน่าเชื่อถือสูง อัลกอริทึมของ Google ก็จะเข้ามา Index ที่เว็บฯ นั้นก่อน แล้วจึงค่อยจัดแรงก์ตามความเหมาะสมในลำดับถัดมา
- ช่วยเพิ่มคะแนนคุณภาพของเนื้อหา (Content Quality Score) เนื้อหาที่มาจากผู้มีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญ และมีความน่าเชื่อถือสูง จะถูกประเมินโดยอัลกอริทึมว่ามีคุณภาพดี ซึ่งจะส่งผลให้ได้คะแนนคุณภาพเนื้อหาที่สูงขึ้น อันเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับผลการค้นหา
- สามารถครองหน้าแรกในการค้นหาหัวข้อเฉพาะทางได้ เว็บไซต์ที่มี E-E-A-T สูง จะสามารถครองอันดับแรกในการค้นหาหัวข้อเฉพาะทางในสาขานั้น ๆ ได้ เพราะ Google ให้ความสำคัญกับ “ความเชี่ยวชาญ” เป็นพิเศษสำหรับหัวข้อเฉพาะด้าน
- สร้างความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่เว็บไซต์ เมื่อเว็บไซต์แสดงถึงประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และความน่าเชื่อถือแล้ว สิ่งที่จะตามมาก็คือภาพลักษณ์ที่ดีของเว็บไซต์ ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้กลับมาใช้บริการหรืออ่านเนื้อหาอีกเรื่อย ๆ
ผลลัพธ์ของการทำ SEO ตามหลัก E-E-A-T มีอะไรบ้าง?
การทำ SEO ตามแนวทาง E-E-A-T ไม่ได้ช่วยแค่การดันเว็บไซต์ให้ขึ้นอันดับต้น ๆ บน Google เท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ที่ดีให้กับเว็บไซต์อีกด้วย ที่สำคัญคือผลลัพธ์ระยะยาวที่ส่งผลต่อเป้าหมายทางธุรกิจโดยตรง ไม่ว่าจะเป็น
- จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- ยอดขายหรือการเติบโตของธุรกิจมีแนวโน้มที่ดีขึ้น
- เพิ่มอัตราการแปลงผู้เข้าชม (Conversion Rate) ให้กลายเป็นลูกค้า
- ยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์หรือองค์กรให้ดูเป็นมืออาชีพ
- สร้างความไว้วางใจและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างลูกค้ากับธุรกิจ
สรุป SEO ด้วยหลัก E-E-A-T ใช้งานได้จริงหรือไม่?
คำตอบคือ “ใช่” แน่นอน การนำหลัก E-E-A-T มาใช้ในการเขียนและวางโครงสร้างเนื้อหาบนเว็บไซต์ สามารถช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณแสดงผลในอันดับต้น ๆ ได้จริง อย่างไรก็ตาม E-E-A-T เป็นเพียงส่วนหนึ่งของอัลกอริทึมการจัดอันดับของ Google เท่านั้น เพราะยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกมาก เช่น ความเร็วเว็บไซต์ ประสบการณ์ผู้ใช้งาน และการทำ SEO ด้านเทคนิค
ดังนั้น การทำ SEO ควรเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการติดตามอัปเดตล่าสุดจาก Google Search Central เพื่อให้สามารถปรับตัวและพัฒนาเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว